Monday, December 30, 2013

รีวิว ไปฉีด Botox + Mesofat ที่ Cutie Viva Clinic ค่ะ

สวัสดีค่ะ

หลังจากที่มีปัญหาจมูกและระหว่างรอเวลาแก้ เราก็ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองดูไม่ดี ตอนนี้ทำใจเรื่องจมูกได้แล้ว เหอๆ

เราอยากหน้าเรียวกับเค้าบ้าง เลยตัดสินใจที่จะฉีด Botox ค่ะ ก็หาข้อมูลอยู่เหมือนกัน หาไปหามาก็ตัดสินใจทำที่คลินิก Cutie Viva ค่ะ เนื่องจากไม่ไกลบ้านมาก เคยเห็นรีวิวคนที่ทำมาก็สวยและเห็นผลดี และคลินิกดูดีสะอาดตา แถมมีโปรโมชั่นช่วงปีใหม่ด้วย วันนี้เลยบึ่งไปฉีดมาเลยยยยย (29 ธ.ค. 2556)

พอเข้าไปพบหมอ หมอบอกว่าเรามีทั้งหกล้ามเนื้อที่กรามและเนื้อที่แก้มเยอะ หมอเลยแนะนำฉีด Botox ลดกราม และ Mesofat เพื่อละลายไขมันตรงเนื้อแก้มด้านล่างค่ะ

เราฉีด Botox ของเกาหลี กับ Mesofat เราใช้ Botox 100 unit ค่ะ ปกติถ้า 2 อย่างนี้รวมกันจะอยู่ที่ 22000 อย่างต่ำ แต่เฉพาะวันที่ 28-29 คุณหมอใจดีลดราคาให้ เราเลยจัดเลย
- Botox เกาหลี 100 unit อยู่ที่ 8000 บาท
- Mesofat 3 ครั้ง อยู่ที่ 7000 บาท
รวมเป็น 15,000 บาท เราขอหมอลดอีก เค้าก็ลดให้เหลือ 14,000 บาทค่ะ Happy มาก เหอๆ

หมอบอกว่าของเราข้างขวากับข้างซ้ายไม่เท่ากัน ข้างขวาเราฉีดไป 60 unit ข้างซ้ายฉีด 40 unit จากนั้นก็ฉีด Mesofat
หมอบอกว่า Mesofat จะเห็นผลภายใน 3 วันแรก ส่วน Botox จะเริ่มเห็นผลภายใน 2-3 อาทิตย์หลังจากฉีด ตอนฉีดเค้าก็ทายาชาให้เรา ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นหมอก็มาฉีดให้ค่ะ

นี่คือรูปค่ะ รายละเอียดก็ตามรูปเลยค่ะ






นี่คือยาชาค่ะ



หลีงฉีดเสร็จ หมอบอกว่าจะบวมประมาณ 3 ชม. หลังจากนั้นก็จะหายบวมค่ะ





อันนี้มา review ให้ดูเพิ่มเติมค่ะ



-----------------------------------------------

มารีวิวให้ดูเพิ่มเติมค่ะ


ก่อนฉีด - หลังฉีด 1 วัน - หลังฉีด 2 วัน - หลังฉีด 3 วัน



ตอนนี้เท่าที่สังเกตุ ตรงกรามยังดูเท่าเดิมอยู่ค่ะ แต่ตรงโหนกแก้มเริ่มยุบลงค่ะ


-----------------------------------------------

มารีวิวให้ดูเพิ่มเติมค่ะ


ก่อนฉีด - หลังฉีด 4 วัน




เริ่มสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ


หน้าดูเริ่มตอบลงมาแย้ว...เราไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองใช่มั้ย >_<

ประสบการณ์ทำจมูกอันเลวร้าย เสริมจมูกครั้งแรก เกิดปัญหาไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง

สวัสดีค่ะ

เมื่อประมาณวันที่ 30 พ.ค. 2556 ที่ผ่านมา เราได้ไปเสริมจมูกกับ คุณหมอรณชัย ณรวี คลินิก ค่ะ

เราเสริมจมูกแบบเอากระดูกอ่อนหลังหูมาทำเป็นงุ้มต่อเล็กน้อย+ใส่ซิลิโคนน่ะค่ะ หมดไป 50,000 บาท
พอผ่านไปได้ประมาณ 2 อาทิตย์ จมูกเราเริ่มมีขั้นปรากฎ คนอื่นมองไม่ค่อยชัด แต่เวลาเราลูบจมูก เรารู้สึกได้เลยว่ามันเป็นขั้น แล้วพอคุยกับหมอ ปรากฎว่าหมอทำผิดพลาดทางเทคนิค!!

และนี่คือสิ่งที่หมอทำค่ะ


เราแบบ เฮ้ย!! ทำแบบนี้ได้ยังไง หมอเค้าเอากระดูกหูที่เหลือมาโปะทับตรงส่วนล่างของซิลิโคน ตอนทำเราไม่รู้ มารู้อีกทีก็ตอนเห็นว่ามันเริ่มเป็นขั้น เราแบบ...ทำไมต้องเป็นเรา แล้วทำแบบนี้หมอไม่คิดถึงผลที่ตามมาเลยหรอว่ามันจะเป็นขั้น สรุป ทำออกมาไม่ค่อยโด่ง+มีขั้นแถมมาด้วย

หลังจากนั้นเราก็จำเป็นต้องแก้จมูกกับหมอคนเดิม แก้ฟรีค่ะ เพราะต้องให้เค้าเอาขั้นออกด้วย จาก พ.ค. ผ่านไปประมาณ 5 เดือนกว่าๆ เราแก้จมูกอีกรอบวันที่ 24 ต.ค. 2556 ที่ผ่านมาค่ะ ซึ่งสิ่งที่หมอต้องทำก็คือ เอาขั้นออก และ เปลี่ยนซิลิโคนอันใหม่ให้เรา ก็ไปแก้จมูกกับหมอ หลังจากนั้นเราก็กลับมาพักฟื้นค่ะ

ประมาณ 4 วันหลังจากการผ่าตัดรอบ 2 เราก็เกิดไม่สบาย อันนี้อาจจะเป็นความผิดของเราที่ไม่ไปหาหมอ เราก็ไม่ได้เอะใจ นึกว่าไม่สบายก็กินยาแล้วก็หาย เราก็ทานยาแล้วก็หายไข้นะคะ ผ่านไปอีก 1 อาทิตย์เราก็ไปหาหมอ ปรากฎจมูกติดเชื้อ!! ต้องรีบเอาซิลิโคนออกทันที O_O บระเจ้า!! อะไรวะเนี่ย เพิ่งยัดเข้าไปไม่ถึง 2 อาทิตย์ ต้องเอาออกอีกแล้ว TT เราจำเป็นต้องให้เค้าเอาออกค่ะ เพราะไม่งั้นติดเชื้อไม่ดีต่อเราแน่ๆ หลังจากนั้นจมูกเราก็กลับมาบี้เหมือนเดิม 50,000 ที่ลงไป ไม่ได้อะไรกลับมาเลย (เออ ลืมไป ยังมีกระดูกหลังหูที่ยังเป็นงุ้มอยู่ แต่ซิลิโคนไม่มีแล้ว)


หลังจากเอาออกได้ 3 วัน เราก็ไปหาหมอ เราก็คุยๆว่าอาการดีขึ้นแล้ว กระดูกหูที่อยู่ตรงปลายจมูกมันจะไม่สลายใช่มั้ย หมอบอกว่ามันจะไม่สลายค่ะ หมอบอกว่าพักจมูกอีกประมาณ 3 เดือน เราก็ ok แล้วเราก็ถามหมอว่า
เรา: "หมอคะ งั้นหนูต้องมาหาหมออีกทีเมื่อไหร่คะ"
หมอ: "อีก 3 เดมือนนั่นแหละ ค่อยมาดูก็ได้"
เรา: "อ่อ ok ค่ะหมอ"

หลังจากวันนั้น ผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ เราก็เริ่มรู้สึกว่าจมูกเรามันเริ่มจะแด่นขึ้น แม่ก็ทัก เพื่อนก็ทัก เรารู้สึกนอยมาก! จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้มั้ย แถมจมูกเราช้ำเพราะจากการที่หมอขูดขั้นออกค่ะ ลองดูรูปได้ค่ะ เผื่อใครยังงงๆ



 เห็นรอยช้ำมั้ยคะ? รอยช้ำเกิดจากการที่หมอขูดเอาขั้นออก และที่จมูกมันร่นขึ้นไปเหมือนจมูกหมู ก็เพราะตอนติดเชื้อ หมอเอาซิลิโคนออกและเค้าก็ต้องขูดเนื้อเยื่อตรงจมูกออกไปด้วยเพื่อให้อาการ ติดเชื้อหายขาด มันเลยเป็นบุ๋มๆตรงกลาง เพราะพังผืดเริ่มเกาะตัวด้วยค่ะ เราเลยรีบไปหาหมออีกทีค่ะ

พอไปถึงคลินิค หมอส่ายหน้า!! เราแบบ เริ่มจิตตกและ -_- เวงกำอะไรของชั้น หมอบอกว่าเนี่ย จมูกมันเริ่มร่นขึ้นไปแล้ว ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ เวลาเสริมใหม่อาจต้องใช้ซิลิโคนสั้นลง แล้วอาจต้องตัดกระดูกหูเพิ่มมาทำเป็นงุ้นใหม่ แมร่ง เราคิดในใจ ไม่มีทางที่ชั้นจะตัดกระดูกหูอีกข้าง!! แล้วหมอก็บอกว่า สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือ ต้องดึงจมูกลง ต้องคอยกดมัน O_O เราก็งงสิคะ...คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว

1) ดึงลง? กด? ยังไง?
2) แล้วถ้าดึงมันลงบ่อยๆ แล้วรอยช้ำที่จมูกเราจะเป็นยังไง? จะไม่ยิ่งช้ำหรอ!!
3) แล้วต้องดึงนานแค่ไหน
4) แล้วจมูกเราจะกลับมาดีเหมือนเดิมมั้ย
5) รอยช้ำจะหายขาดมั้ย

โอ้ย ทุกอย่างตีกันในหัวไปหมดค่ะ

หมอบอกว่าเราต้องดึงลงแรงๆ ต้องกดมันลง หมอไม่การันตีว่ามันจะหายร่น แต่เค้าบอกว่าให้เราคอยดึงมันลงตลอดเวลา ดึงปลายจมูกลง ไม่งั้นยิ่งแด่น/แอ่นแน่นอน เอาไงล่ะทีนี้ เราก็ต้องดึงค่ะ ทรมานแค่นี้ยังไม่พอ ชั้นต้องคอยดึงจมูกอีหรอนี่

แต่ประเด็นคือตอนแรกหมอนัดอีกที 3 เดือนด้วยซ้ำ ถ้าเราไม่ไปพบหมอก่อน จมูกเราจะเป็นยังไง เราจะรู้มั้ยว่าเราต้องดึง และเราจะรู้มั้ยว่าเราสามารถดึงได้ ใครๆก็คิดว่าอย่าไปดึงหรือทำอะไรมัน เพราะเพิ่งผ่าตัดเสร็จไม่นาน ตอนหลังผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ ทำไมหมอไม่เห็นพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ??

เราผิดหวังในหมอมากค่ะ ณ จุดๆนี้

พอผ่านไปได้ 1 เดือนหลังจากผ่าตัดเอาซิลิโคนออก รูปก็เป็นอย่างที่เห็นค่ะ เรายังดึงจมูกทุกวัน พยายามไม่ให้มันแอ่นค่ะ ก็เป็นตามสภาพที่เห็นค่ะ 50,000 ที่หมดไป อนาถแท้




จะเห็นว่ารอยช้ำยังมีอยู่ ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันจะหายเมื่อไหร่ จะหายถาวรมั้ย!?! เรานอยมากๆเลยค่ะ

หมดไป 50,000 บาท ถามว่าได้อะไรกลับมาบ้าง?

1) กระดูกหูที่ยังอยู่ตรงปลายจมูกเราซึ่งดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลยตอนนี้ 
2) รายช้ำที่แถมมา
3) ซิลิโคนที่หายไป
4) ต้องดึงจมูกอยู่ตลอดเวลา
5) ความผิดหวัง
6) เสียเวลา เงิน แรงกาย แรงใจ

ตอนนี้เราคิดอยู่ว่าถึงหมอเค้าจะยินดีแก้ให้ (ต้องรออีก 3 เดือน) แต่เราก็เริ่มนอยและไม่อยากทำกับหมอคนนี้แล้วค่ะ เงินที่เสียไปถือซะว่าฟาดเคราะห์ เค้าคงไม่ยอมคืนเงินให้เราแน่ๆ เพราะเค้าอาจจะหาว่าครั้งที่ 2 ที่เราต้องเอาออกมันเป็นความผิดของเราที่เราไม่สบายทำให้จมูกติดเชื้อ แต่เงินจะคืนหรือไม่ืนมันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือตอนนี้มันเสียความรู้สึกไปแล้วน่ะค่ะ เราเลยพยายามหาหมอใหม่ค่ะ ที่สามารถแก้ให้จมูกเราดูโด่งและดูสวยแบบธรรมชาติได้ ขอเจ็บอีกแค่ครั้งเดียวค่ะ

--------------------------------------------------------------------------

หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เราก็ต้องพักจมูกเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนค่ะ ถ้านับจากวันที่ถอดซิลิโคนออกล่าสุด เราถอดออกวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ผ่านไป 3 อาทิตย์แล้วค่ะ ระหว่างนี้ทำให้เราได้พยายามไปปรึกษาหมอที่รับแก้เคสกระดูกหูค่ะ เสียเงินค่าปรึกษาเราก็ยอม เพราะเราต้องการรู้ว่าหมอแต่ละที่ที่เราไปหา จะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ และถ้าได้ เค้าจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร

ในหัวตอนนี้เราคิดแค่
1) เราจะไม่ทำกับหมอเดิมแล้ว จะคุยกับหมอเดิมเพื่อขอเงินคืน 
    ใครเคยขอเงินคืนมั้ยคะ มีวิธีพูดยังไงให้เค้ายอมคืนเงินเราเต็มจำนวนบ้างมั้ยคะ

2) ปรึกษาหมอหลายๆที่เพื่อหาที่ๆดีที่สุดสำหรับเคสแก้จมูกของเรา



ตอนนี้เราไปปรึกษาหมอมา 3 ที่แล้วค่ะ ก่อนไปปรึกษาเราก็เขาไปดูเว็บ หาข้อมูล ดูรีวิวตามเว็บต่างๆค่ะ แล้วค่อยตัดสินใจไปปรึกษาค่ะ


ที่แรก หมออาสยา รพ.สมิติเวช ค่ะ
ประวัติหมออาสยาดู link ข้างล่างได้ค่ะ
http://www.blogger.com/profile/00143163400463858179
เราเล่าให้คุณหมอฟังถึงเรื่องจมูกของเรา เล่าไปร้องไห้ไปเพราะมันกลั้นไม่อยู่จริงๆ คุณหมอแนะนำว่าตอนนี้เนื้อเราบางมาก (ตรงกลางที่เป็นรอยช้ำ) บางมากๆ (หมอเน้นคำว่า "มากๆ") จนหมอไม่แน่ใจว่าจะสามารถใส่ซิลิโคนได้มั้ย เพราะกลัวใส่เข้าไแล้วเกิดทะลุขึ้นมา หมอบอกว่ากระดูกอ่อนใบหูเราที่อยู่ตรงปลายไม่ได้สลาย ถ้าถึงเวลาแก้ต้องดูกระดูกอ่อนใบหูก่อนว่าสภาพเป็นอย่างไร ถ้ายังมีสภาพดีอยู่ก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ไม่จำเป็นต้องทิ้งและผ่าตัดใหม่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพตอนนั้นค่ะ หมอบอกว่าสามารถย้ายกระดูกอ่อนใบหูที่อยู่ตรงปลายจมูกเรา เลื่อนมันให้ต่ำลงมาได้ แต่จะใส่ซิลิโคนหรือไม่ให้ดูอีกที ต้องรอประมาณ 3 เดือนให้จมูกมันเข้าที่จริงๆก่อนถึงจะบอกได้ เรื่องรอยช้ำเค้าบอกก็ให้ประคบอุ่นค่ะ แต่จะหายไม่หายต้องรอดูอาการไปเรื่อยๆ ส่วนลักษณะจมูกของเราที่ร่นขึ้นไป หมอบอกว่าอย่ากังวล หมอบอกว่าแค่ผ่าตัดเลาะพังผืดที่ติดกันอยู่ เท่านี้ก็จะทำให้จมูกหายร่นค่ะ หมอเค้าผ่าตัดแบบ Open ค่ะ ส่วนเรื่องดึงจมูก หมอบอกว่ามันไม่ค่อยเกี่ยวเพราะยังไงถึงไม่ดึงหรือถึงจมูกจะร่น มันก็ยังแก้ได้ด้วยการผ่าตัดแบบ Open

เราก็ประทับใจนะ คุณหมอก็ปลอบเราว่าอย่าไปเครียด มันแก้ได้ อย่ากังวล รอประมาณ 3 เดือนค่อยกลับมาให้คุณหมอเช็คดูอีกที คุณหมอไม่ได้คิดค่าปรึกษาค่ะ แต่มีค่าธรรมเนียมโรงบาล 150 บาทค่ะ



ที่สอง หมอทนงศักดิ์ Asia Clinic ค่ะ
ประวัติหหมอทนงศักดิ์ดู link ข้างล่างได้ค่ะ
http://www.asia-clinic.com
เราเข้าไปตั้งแต่ 10 โมง คนก็เยอะเหมือนกัน มีมาเรื่อยๆค่ะ ที่นี่เป็นคลินิกที่ดูดีมากค่ะ สะอาดมากค่ะ ประทับใจตั้งแต่ห้องน้ำแล้วค่ะ ต้องเปลี่ยนรองเท้าก่อนเช้าไปพบหมอ ถ้าเข้าห้องน้ำก็ต้องเปลี่ยนรองเท้าที่เค้าเตรียมไว้ให้อีกที ตอนเข้าไปจะปรึกษาเค้าก็ให้ทำประวัติก่อนแล้วก็ถ่ายรูปหน้าเรา จากนั้นเค้าก็มีแฟ้มภาพจมูกดารามาให้เราเลือก บอกว่าถ้าต้องการจมูกแบบไหนให้ดึงแผ่นนั้นออกมาจากแฟ้มได้เลย แฟ้มเค้าหนามาก หลายแผ่นอยู่ เหอๆ เรารออยู่ครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นลิฟท์ไปหาหมอค่ะ

พอเข้าไปพบหมอ เราก็เล่าเคสของเราให้ฟังค่ะ เค้าตั้งใจฟังแล้วก็จดลงกระดาษค่ะ เราเล่าไปร้องไห้ไป (อีกแล้ว -_- ก็มันกลั้นไม่อยู่จิงๆนะ) เราก็เน้นว่าเนื้อเราตรงกลางจมูกมันบางมากๆ หมอก็จับๆดูนะคะ แล้วก็บอกว่าเคสเราสามารถแก้ไขได้ ไม่ต้องกังวล หมอเจอเคสปัญหาแบบนี้มาเยอะ เราก็บอกหมอเค้าไปว่าจมูกเรามันดูแอ่นๆ ที่เราไม่แก้กับหมอเดิมก็เพราะวิธีการแก้ของเค้าคือแค่ใส่ซิลิโคนใหม่เข้าไป ซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์การทำจมูกของเราเลย ถึงใส่ซิลิโคนเข้าไปก็ไม่หายแอ่นและไม่หายร่นอยู่ดี หมอทนงศักดิ์บอกว่าต้องแก้ไขใหม่ ต้องรื้อใหม่ ส่วนวิธีการนั้นยังไม่แน่ชัด ยังตอบไม่ได้ เพราะตอนนี้จมูกเรายังต้องใช้เวลา set ตัว ต้องรออีกซัก 2 เดือนแล้วค่อยกลับมาปรึกษากับหมออีกรอบถึงวิธีการแก้ ถึงตอนนั้นเค้าก็จะรู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไร เค้าบอกกับเราว่าเคสเราสบายมาก อย่าเครียด ไม่ใช่เคสหนัก บางคนหนักกว่าเราเยอะ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องเครียด เราจะดึงจมูกหรือไม่ดึงจมูกก็ได้แล้วแต่เรา ต่อจากนี้อีก 2 เดือนไม่ต้องไปคิดถึงจมูก ไม่ต้องคิดมาก ยังไงก็แก้ได้ เคสนี้ไม่ยาก (เรามีความหวังขึ้นมาทันที เพราะถ้าหมอพูดขนาดนี้ แสดงว่าเค้าก็รู้ตัวแหละว่าเค้ากำลังให้ความหวังคนไข้ ซึ่งเป็นความหวังที่เค้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง) สีหน้าเค้าดูมั่นใจมากค่ะ เราก็ ok และนัดปรึกษาเค้าอีกทีเดือนมีนาคมค่ะ

พอออกมาจากห้องเราก็มานั่งรอด้านหน้าห้อง ก็มีพี่ที่คลินิกมานั่งคุยกับเราเรื่องเคสจมูกของเรา เค้าชมเราว่าหน้าเราทรงเกาหลีจริงๆ ถ้าแก้จมูก ทีนี้ก็จะเหมือนเด็กเกาหลีเลย เค้าเล่าให้ฟังว่า หมอทนงศักดิ์เป็นแพทย์จาก รพ.ศิริราช ท่านมีประสบการณ์และเก่งมาก เวลาเค้าดูจมูกของคนไข้ เหมือนเค้าจะเห็นทะลุเข้าไปด้านในจมูกของเราเลยว่าสภาพเป็นยังไง เราก็ถามพี่เค้าต่อว่าเคยมีเคสแก้จมูกคล้ายๆเคสเรามั้ย พี่เค้าบอกว่ามีหนักกว่าเราเยอะ มีบางที่ทำจมูกมาหลายครั้งมากจนซิลิโคนทะลุ ก็มาแก้กับคุณหมอ บางเคสที่บางที่ไม่รับแก้ คุณหมอก็รับแก้ให้ บางเคสเป็นปากแหว่งเพดานโหว่มาตั้งแต่เกิดก็มาขอให้คุณหมอช่วยทำให้ พอทำออกมาสำเร็จแล้วคนไข้ดีใจจนร้องไห้เลย พี่เค้าก็เล่าเคสพวกนี้ให้ฟัง ทำให้เราใจชื้นขึ้นเยอะ พี่เค้าบอกว่า เราไม่ต้องกังวล ถ้าคุณหมอบอกว่าแก้ได้ ไม่ต้องห่วง ก็คือไม่ต้องห่วงจริงๆ ให้เราทำใจสบายๆอย่าไปเครียด อย่าไปกังวล

พอเราลงมาข้างล่าง มีค่าปรึกษา 500 บาทค่ะ เราก็ยอมควักค่ะ จากนั้นเราก็คุยกับคุณพยาบาลของคลินิกค่ะ เล่าให้เค้าฟังว่าเคสเราเป็นยังไง ทำไมมันถึงมีรอยช้ำได้ พยาบาลเค้าก็บอกเราตรงๆค่ะว่า เซลล์เนื้อเราตรงที่เป็นรอยช้ำมันตายแล้ว (เราตกใจ O_O) มันจะไม่หายขาด เราก็ถามว่าเราจะทำยังไงได้บ้าง เราบอกเค้าว่ารอยนี้ถ้าเทียบกับ 1 เดือนที่แล้ว มันดูจางลงไปนิดนึง แล้วเราก็เอารูปให้เค้าดู เค้าก็บอกว่างั้นต้องรอดูไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะดีขึ้นเพราะตอนนี้ผ่านไปแค่ 1 เดือนเท่านั้น เค้าให้เราคอบประคบอุ่นค่ะ เมื่อคุยเสร็จแล้วเราก็ไปปรึกษาที่ต่อไปค่ะ


ที่สาม หมอพีรพันธ์ Deluxe Clinic ค่ะ
ประวัติหหมอพีรพันธ์ดู link ข้างล่างได้ค่ะ หมอเคยทำที่เลอลักษณ์ค่ะ ตอนนี้มาเปิดคลินิกเองค่ะ
http://www.deluxeclinic.com
เป็นคลินิกเล็กๆค่ะ พี่ๆดูเป็นกันเองค่ะ แต่กระเทยเยอะเหมือนกันนะ เหอๆ ตอนเราไปก็มีอย่างต่ำ 2 รายและ อันนี้เค้าก็ให้เราถ่ายรูป ทำประวัติ แล้วก็ชำระเงินค่าปรึกษาก่อน 300 บาท เราก็จ่ายไปค่ะ จากนั้นรอประมาณ 15 นาทีก็ขึ้นไปพบคุณหมอค่ะ เราก็เล่าเคสเราให้เค้าฟังค่ะ เค้าก็บอกเราว่ากระดูกอ่อนหูนั้นจริงๆแล้วเมื่อเวลาผ่านไป กระดูกอ่อนหูก็จะค่อยๆสลายไปและรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับจมูกเราค่ะ เค้าให้ข้อมูลเรามาแบบนี้ค่ะ

1) เซลล์เราตรงที่เป็นรอยช้ำมันตายแล้วเพราะมันเกิดจากการที่เค้าขูดเนื้อเรา ออกไปมากเกิน จริงๆแล้วกระดูกหูมันบางมาก เค้าขูดกระดูกหูออกไปซึ่งตรงนั้นก็เป็นเนื้อจมูกเราด้วย เค้าขูดออกเยอะไปทำให้เซลล์เรามันตายและกลายเป็นรอยช้ำอย่างที่เห็น (เรายิ่งฟังยิ่ง get มากขึ้น TT) เมื่อเซลล์ตายแล้วมันก็จะไม่หายช้ำ O_O

2) จมูกเราอาจจะสร้างเนื้อเยื่อได้อยู่ เพราะรอบที่สองเราใส่ซิลิโคนเข้าไปและเอาซิลิโคนออกเร็ว มันก็มีสิทธิ์ที่เนื้อเยื่อจะสร้างตัวอยู่

หมอจับๆจมูกเราค่ะ แล้วก็จับตรงปลายจมูกแล้วบอกว่า "เนี่ย กระดูกหูมันสลายแล้ว กลายเป็นเนื้อหมดแล้ว" หมอบอกว่าสำหรับเคสเรา ซิลิโคนถ้าใส่ อาจทะลุได้เพราะเนื้อตรงสันเราบาง (แต่ทั้งนี้ต้องรอดูประมาณ 3 เดือนว่าเนื้อเยื่อมันจะสร้างขึ้นมาขนาดไหนด้วยค่ะ) หมอบอกว่าจมูกเราอาจยังไม่ยุบเต็มที่ ต้องรอเวลา แต่รูปจมูกเราจะทำให้เป็นงุ้มมันก็ทำไม่ได้ เพราะต้องอิงจากจมุกเดิมด้วย หมออธิบายว่าคนเราชอบจินตนาการไปว่าจมูกต้องให้ได้แบบนั้นแบบนี้ ต้องโด่งประมาณนั้น ต้องงุ้มประมาณนี้ ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงรูปจมูกของตัวเองที่แท้จริงตั้งแต่ต้นว่ามันสามารถทำได้ มั้ย หมอไม่แนะนำให้ทำจมูกแบบเอากระดูกอ่อนหูมาต่อตั้งแต่ต้นเพราะถ้าเกิดผิดพลาด อะไรขึ้นมา ก็จะแก้ยาก ดังนั้นสำหรับใครถ้าทำครั้งแรก ควรใช้แค่ซิลิโคนอย่างเดียวก่อน ถ้าไม่ work ค่อยไปเทคนิคอื่น สรุปก็คือรอค่ะ มันต้องใช้เวลา ซึ่งอันนี้เรารู้ดีค่ะ ก็รอถึงเวลาแล้วค่อยกลับมาปรึกษาอีกทีว่าจะแก้ยังไงได้บ้าง

พอเราออกมาพี่ผู้ช่วยหมอก็บอกว่ารอยช้ำมันจะจางลงแต่มันจะไม่หายไปเพราะ เซลล์มันตายแล้ว (เราก็รู้สึกไม่ค่อยดีอ่ะนะ) เค้าบอกว่าเราต้องดูแลตัวเองดีๆ ต้องทากันแดดเยอะๆ อย่าตากแดด เพราะเดี๋ยวรอยช้ำมันจะไม่ดีขึ้น แล้วก็บอกต่อว่า อย่าประคบอุ่น ให้ประคบเย็นข้างแก้มแทน


** ถึงตอนนี้เราเริ่มงงและสงสัยระหว่างคำพูดของ หมออาสยา กับ หมอพีรพันธุ์ ... หมออาสยาบอกว่ากระดูกหูจะไม่สลายไป แต่! หมอพีรพันธุ์บอกว่ากระดูกหูสลายรวมกับเนื้อไปแล้ว ?? เอ๊ะ ตกลงยังไงกันแน่ เราจะเชื่อใครดี

** อีกจุดนึงที่สงสัยคือ 2 ที่ข้างต้นบอกให้ประคบอุ่น แต่ทาง Delux Clinic บอกอย่าประคบอุ่น ให้ประคบเย็น?? เราก็งงอีก ตกลงกรูต้องประคบอะไรกันแน่

ยังไง ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องรอเวลาไปก่อนนั่นแหละ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ไปปรึกษาหมอและรู้ว่าแต่ละคนคิดยังไงกับเคสเราและสามารถ แก้ได้มากน้อยแค่ไหน

วันศุกร์นี้เรานัดกับหมอพิชิต หมอเค้ามีคลินิกอยู่ 2 ที่คือที่ พระราม 9 กับ สำโรง ค่ะ หมอท่านประจำอยู่ที่ รพ.จุฬาค่ะ จะเข้าคลินิกเฉพาะช่วงเย็นค่ะ ยังไงจะมา update ให้ฟังกันนะคะ

เอาใจช่วยเราด้วยเน้อออออ


--------------------------------------------------------------


ไปปรึกษาหมอที่ The klinique แถว Siam มาค่ะ
ก่อนอื่นคุณหมอหล่อมากกกก 555 (แอบไม่เกี่ยว)

หมอบอกว่ารอยช้ำตรงกลางจมูกเราเกิดจากการที่เค้าขูดไป ทำให้เม็ดสีผิวมันเปลี่ยนสี เค้าบอกว่าสามารถแก้ด้วยการทำ Laser ปกติ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันเริ่มสร้างเนื้อเยื่อมากขึ้นตรงกลางจมูก เพราะบีบๆแล้วรู้สึกมันมีเนื้อมากขึ้นและไม่รู้สึกเจ็บแล้ว จากเมื่อก่อนที่เนื้อบางมากแทบจะบีบไม่ได้เลย

ตอนนี้ผ่านมา 1 เดือนเต็มแล้ว เราก็รอให้จมูกมันพักฟื้นอีกซัก 2-3 เดือน แล้วว่าจะทำใหม่

ตอนนี้ Plan เราคือจะไปปรึกษาหมอพิชาญศักดิ์ที่ V-Plast เกี่ยวกับเคสของเรา เราจะลองปรึกษาหมอว่าถ้าเคสเรา สามารถแก้โดยการใส่ซิลิโคน+เอาเนื้อเยื่อสังเคราะห์มาต่อปลาย ได้มั้ย เพราะไหนๆถ้าจะแก้แล้ว เราก็อยากแก้เป็นครั้งสุดท้าย ทำให้จมุกมันออกมาสวย ดูดี มีหยดน้ำ (แต่เราไม่เสี่ยงเอากระดูกอ่อนหลังหูใหม่มาต่อแน่นอน เพราะเราเข็ดแล้ว)

เพื่อนๆคนไหนที่เคยทำเคสนี้ ใส่ซิลิโคน+เอาเนื้อเยื่อสังเคราะห์มาต่อปลาย รบกวนแนะนำด้วยนะคะ


---------------------------------------------------------------------


ล่าสุดได้ไปปรึกษาอีก 2 หมอค่ะ

1) คุณหมอสุวิทย์ที่ รพ.เซ็นทรัลเยนเนอรัล ผลคือ แกไม่รับแก้ค่ะ เพราะเคสเรามันเป็นในเรื่องของเทคนิคอีกขั้นนึงซึ่งแกไม่ถนัดเคสแก้กระดูก หลังหู  ก็ ok จบไป

2) คุณหมอพิชาญศักดิ์ที่ V-Plast บางแสน หมอบอกว่าจมูกเรายังไม่ผิดรูปมาก ตอนนี้ตรงปลายเราเป็นพังผืดเกาะกันทำให้ปลายมันแข็ง หมอแนะนำให้นวดจมูกบ่อยๆ โดยเฉพาะตรงปลาย เพื่อให้พังผืดมันคลายและนิ่มขึ้น หมั่นทาครีมและนวดทุกวันๆ หมอก็ให้ยามาทาตรงปลายจมูกเหมือนกันค่ะ เอาคัตเติ้ลบัตรชุบและทาเช้า-เย็น แต่ระหว่างวันก็ให้เอา Baby Oil นวดตรงปลายจมูกเพื่อทำให้มันนิ่ม (ประทับใจที่นี่มากกว่าที่อื่นๆคือ คุณหมอเค้าบอกว่าเราควรจะทำและปฏิบัติกับจมูกเราอย่างไรบ้างในระหว่างที่รอ แก้) คือถ้าแก้ได้หมอก็แก้ไปแล้ว แต่หมอบอกว่าตอนนี้เคสเราต้องรอและไปให้เค้าตรวจเป็นระยะๆเพื่อดูว่าเรา สามารถแก้ได้หรือไม่ ถ้าเนื้อเรายังไม่เข้าที่ ยังไม่พร้อม แกก็จะให้รอจนกว่าจะสามารถแก้ได้

ตอนนี้เราก็ไม่ค่อยเครียดแล้ว เพราะรอยช้ำเริ่มจางลง เราก็หวังว่ามันจะหายช้ำไปในที่สุด ตอนนี้ได้แต่หมั่นนวดจมูก ทานวิตามินซี ทาน Collagen เราก็ไม่รู้ว่ามันช่วยมั้ย แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เพราะมันคือจมูกเรา ยังไงมันก็ต้องอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ถ้าเจอปัญหาเราก็จะพยายามทกวิถีทางให้มันกลับมาดูดีให้ได้!!


นี่คือจมูกเราปัจจุบันค่ะ สังเกตุได้ว่ารอยช้ำตรงกลางจมูกเริ่มจางลงไปเยอะแล้วค่ะ ตอนนี้ผ่านมาประมาณ 2 เดือนแล้วหลังจากเอาออกล่าสุด เราทั้งทาง Collagen, Vitamin C, ทาครีมแล้วนวดสารพัดเท่าที่เราจะทำได้





อีกรูปค่ะ เปรียบเทียบกัน




ประมาณนี้ค่ะ แล้วไว้จะมาเล่าความคืบหน้าอีกนะคะ