Thursday, March 19, 2015

Update ความคืบหน้าปรึกษาหมอแก้ไขจมูก

สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษที่ห่างหายไปนาน ไม่ได้มา update เป็นปีเลยค่ะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะคะว่าปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง และได้ไปปรึกษาหมอไหนมั่ง และที่สำคัญเราแก้จมูกกับหมออะไร (ตอนนี้เพิ่งแก้จมูกเสร็จไปไม่กี่วันค่ะ เดี๋ยวจะ Update ทีหลังนะคะ)

ก่อนอื่นหากใครยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับการทำจมูกของเราครั้งแรกๆ
สามารถอ่านได้ที่นี่เลยนะคะ http://goo.gl/iNQHRg ซึ่งเราเขียนไว้ตอนสิ้นปี 2556 ค่ะ

สำหรับปี 2557 เราก็พยายามตระเวณปรึกษาหมอเพิ่มค่ะ เราไปปรึกษา หมอวีระพันธ์ บางแสน (V-Plast Clinic) อยู่หลายครั้ง หมอให้คำปรึกษาดีมากค่ะ หมอบอกว่าจมูกของเราตรงปลายมันแข็งมากเพราะมีพังผืดข้างใน หมอแนะนำให้นวดจมูกบ่อยๆค่ะ นวดตลอดเวลาได้ยิ่งดี และก็ให้ยามาทาตรงปลายจมูกค่ะ นี่คือยาที่หมอจ่ายให้ค่ะ (เราเคยลองไปหาซื้อตามร้านขายยาก็ไม่มีค่ะ ต้องจากแพทย์โดยตรงเท่านั้น) 



หรือถ้าไม่ใช้ยานี้ก็สามารถใช้คัตเติ้ลบัตรชุบเบบี้ออยแล้วทาตรงปลายรูจมูกได้ค่ะ หมอบอกว่าการที่เราหมั่นนวดทุกวันๆจะทำให้เนื้อมันคลายตัวมากขึ้น ให้เนื้อตรงปลายมันนิ่มขึ้น และทำให้พังผืดไม่เกาะกันเป็นก้อนแข็งๆ และการที่เราใช้ยาหรือเบบี้ออยทาตรงปลายรูจมูกก็จะส่งผลให้เนื้อตรงปลายมันนิ่มขึ้นด้วยค่ะ หมอให้คำแนะนำดีค่ะ ถ้าแก้ได้เลยก็จะบอกว่าสามารถทำได้เลย แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็จะบอกให้เรารอก่อนค่ะ ช่วงนั้นหลังจากที่ปรึกษาหลายหมอ ก็คิดว่าน่าจะแก้กับหมอวีระพันธ์ เลยไปปรึกษาเรื่อยๆอยู่ 3-4 ครั้งค่ะ (ประมาณ 3 เดือนไปพบที) ทุกครั้งที่ไปพบหมอก็จะบอกว่าให้รอค่ะ เพราะยังไม่เหมาะและยังไม่ถึงเวลาที่จะแก้ 

คือต้องบอกว่าประทับใจการให้คำปรึกษาของหมอวีระพันธ์ค่ะ เพราะแกอธิบายละเอียด และอธิบายอย่างใจเย็น ไม่เหมือนหมอบางท่านที่เราเข้าไปปรึกษาและพูดไม่กี่คำหรืออธิบายไม่เคลียร์ค่ะ และปี 2557 ก็เป็นปีที่เราหมั่นนวดจมูกและทายาที่หมอให้ค่ะ ทำแบบนี้ตลอดปีค่ะ นวดอย่างเดียว เพราะการที่จมูกของเราผ่านการผ่าตัดมาหลายครั้ง ควรจะปล่อยและรอเวลาก่อน ถ้าหากไปแก้ทันทีอาจจะทำให้จมูกเราแย่ลงก็ได้ค่ะ ต้องบอกเลยค่ะว่าเป็น 1 ปีที่ต้องอดทนพอสมควร 

เราหมั่นนวดจมูกตลอดปีทำให้จมูกของเราไม่รั้งขึ้นและไม่เชิดเป็นจมูกหมูเหมือนตอนแรกค่ะ เมื่อนวดบ่อยๆทำให้เนื้อตรงปลายจมูกมันคลายลงค่ะ ลองดูรูปนะคะ


อย่างที่บอกค่ะ เราทำตามที่คุณหมอแนะนำ เรานวดปลายจมูกทุกวันๆจนเป็นกิจวัตรประจำวันไปเลย และผลลัพธ์ก็ประกฎค่ะ ปลายจมูกเริ่มดีขึ้นๆเพราะมันไม่เชิดเหมือนตอนแรก นานไปรอยช้ำตรงกลางก็เริ่มจางลงจนแทบจะมองไม่เห็นค่ะ 

รูปของวันที่ 17 มี.ค. คือไม่มีซิลิโคนแล้วและตรงปลายจมูกก็ยังไม่แน่ใจว่ากระดูกหูมันยังเหลืออยู่หรือว่ามันสลายไปแล้ว แต่ที่เราไม่ชอบคือปลายจมูกมันแด่นค่ะ เวลายิ้มเราไม่มั่นใจเลย เวลาถ่ายรูปก็ยิ่มได้ไม่เต็มที่ ตามที่เห็นในรูปเลยค่ะ ยิ่งเวลาถ่ายรูปด้านข้างแล้วยิ้ม ยิ่งดูออกว่ามันแด่นออกมาค่ะ เราเลยยังมุ่งมั่นที่จะหาหมอแก้จมูกค่ะ


ช่วงปลายปี 2557 เราได้คุยกับคุณมะเหมี่ยวผ่านทาง Facebook ค่ะ สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวของคุณมะเหมี่ยว สามารถตามอ่านได้ ที่นี่ ค่ะ คุณมะเหมี่ยวได้ไปแก้จมูกมาเรียบร้อยแล้วและดีขึ้นมาก เราก็เลยสอบถามข้อมูลค่ะ ก็ได้ความว่าคุณมะเหมี่ยวได้ทางเว็บ Dodeden เป็นธุระให้ และ Admin ของเว็บนี้ก็พยายามช่วยเหลือในเรื่องของการให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ และหาหมอแก้จมูกให้ จากนั้นเราก็เลยติดต่อไปยังเว็บ Dodeden เพื่อขอคำปรึกษาค่ะ เราได้คุยกับพี่โอเปิ้ล (Admin เว็บ Dodeden) ว่าเราเคสของเราเป็นแบบนี้ เราควรจะแก้กับหมอท่านไหนดี 

เราถามไปหลายหมอเหมือนกัน พี่เค้าก็บอกมาตรงๆเลยค่ะว่าส่วนใหญ่หมอที่เราไปปรึกษามา เคสหลุดเยอะ จมูกเราสามารถแก้ได้ เพียงแต่ต้องหาหมอที่มีฝีมือและเก่งจริงๆ พี่เค้าแนะนำให้ลองไปปรึกษาหมอเฉลิม ฟอร์จูนคลินิก ซึ่งเราก็ลองไปปรึกษาค่ะ และรวมถึงปรึกษาหมอท่านอื่นเพิ่มเติมด้วย ต่อไปนี้จะมีทั้งหมด 4 หมอที่เราไปปรึกษาเพิ่มเติมค่ะ

1) หมอเฉลิม ฟอร์จูนคลินิก 
ตอนเราเข้าไปปรึกษา หมอคุยดีค่ะ หมอถามว่าทำไมถึงไม่แก้กับหมอคนเดิม มันเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มนะ เราก็อธิบายว่าเราเข็ดกับหมอเดิมแล้วเพราะผ่ามาหลายรอบ เลยอยากแก้กับหมออื่น คุณหมอก็บอกว่าจมูกของเราแก้ได้ โดยเค้าจะใส่ซิลิโคนเข้าไปอย่างเดียว เค้าบอกว่าตรงปลายจมูกเราดีอยู่แล้วไม่ต้องแก้ ประมาณนี้ค่ะ ค่าแก้ 70,000 บาท

2) หมอมนัส Meko Clinic
พอดีตอนแรกน้าเราไปเจอข่าวของคุณหมอมนัสในหน้าหนังสือพิมพ์ แล้วเอามาให้เราดูค่ะ ประกอบกับเราถามพี่โอเปิ้ลด้วยว่าคุณหมอคนนี้ ok มั้ย พี่เค้าก็แนะนำว่าดีค่ะ เราก็เลยลองไปปรึกษาคุณหมอดู คุณหมอให้คำแนะนำดีมากค่ะ อธิบายละเอียดว่าจะแก้จมูกเราอย่างไร คุณหมอบอกว่า จมูกเราต้องทำ 3 อย่างคือ ตะไบ เสริมซิลิโคน และแต่งปลายจมูกค่ะ เพราะกระดูกตรงกลางเราไม่เรียบควรตะไบให้มันเรียบ เวลาใส่ซิลิโคนมันจะได้แนบเนื้อและดูดี และเราควรแก้ปลายจมูกเพราะตรงปลายมันไม่เท่ากัน (ถ้าจ้องใกล้ๆหรือสังเกตุดีๆจะเห็นชัดค่ะว่ามันเอียงๆ) พอถามหมอว่ากระดูกหูมันยังอยู่มั้ย หมอบอกว่าหมอไม่รู้ เราต้องมาดูกันอีกที มันอาจจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้ ถ้าอยู่ก็ต้องดูว่ามันยังนำกลับมาใช้ได้มั้ยหรืออาจจะต้องตัดแต่งเพิ่มหน่อย แต่ถ้าไม่อยู่ หมอก็มีวิธีทำให้มันมีหยดน้ำ แต่เทคนิคหมอจะไม่มีการใช้กระดูกหูมาต่อปลาย หรือเอาเนื้อตรงอื่นมาปะแน่นอน หมอบอกใช้ซิลิโคนอย่างเดียวนี่แหละก็มีหยดน้ำได้ ค่าแก้ 120,000 บาท

3) หมอวีรพันธ์ บางแสน V-Plast Clinic
เราปรึกษาหมอคนนี้ประมาณ 3-4 ครั้งได้ ก็คุยกับคุณหมอค่ะว่าวิธีการแก้เป็นอย่างไร ได้ความว่าจมูกเราแก้โดยการเสริมซิลิโคนเข้าไปและแก้ปลาย แต่การแก้ปลายจมูกของคุณหมออาจจะต้อง้กระดูกหลังหู หรือ ใช้เนื้อเยื่อสังเคราะห์ หรือ ใช้กระดูกในโพรงจมูกค่ะ ซึ่งเราคิดว่าถ้าเราแก้จมูกและใช้เทคนิคพวกนี้แก้ปลาย แล้วถ้าเกิดจมูกเรามีปัญหาอีกล่ะ เพราะยิ่งเทคนิคเยอะ เราก็ไม่รู้ว่าจมูกเราจะเป็นอย่างไรถ้าเกิดปัญหาขึ้นอีก เลยยังไม่แน่ใจค่ะว่าจะแก้กับหมอดีมั้ย ค่าแก้ไม่แน่ใจค่ะน่าจะอยู่ที่ 70,000-80,000 บาท

4) หมอกิตติศักดิ์ เลอลักษณ์
วันที่เราไปปรึกษา รอนานมากค่ะหลายชั่วโมงอยู่ พอขึ้นไปพบจริงๆคุณหมอดูรีบมากค่ะ จำได้ว่าคุยกันไม่ถึง 5 นาที -_- (ชั้นอุตส่าห์รอนานมากกกกก) เราก็เล่าเคสเราให้หมอฟัง หมอก็ตอบมาสั้นๆค่ะว่าแก้ได้เลย จะแก้โดยการใส่ซิลิโคนเข้าไปอย่างเดียวเพราะตรงปลายมันมีอยู่แล้ว ประมาณนี้ค่ะ ค่าแก้อยู่ที่ 30,000 บาท

--------------------------------------------------------------------

เราก็เลยมานั่งวิเคราะห์การแก้จมูกของเราของหมอแต่ละคนที่เราเคยไปปรึกษามา และในที่สุดเราก็เลือกที่จะแก้จมูกกับคุณหมอมนัส Meko Clinic ค่ะ เพราะหลายเหตุผลด้วยกัน

เหตุผลที่ 1
หมอมนัสอธิบายละเอียดค่ะ คุณหมอคุยดีและใจเย็นค่ะ มีคำถามอะไรให้ถามค่ะ เค้าจะตอบทุกคำถาม เราปรึกษาคุณหมอทั้งหมด 2 รอบ รอบแรกเราไปคนเดียวค่ะ รอบที่สองไปกับคุณแม่ หมออธิบายดีและบอกว่าเค้าจะแก้จมูกเราอย่างไรบ้าง และจมูกเราจะออกมาเป็นประมาณไหน เค้าบอกว่าตอนนี้จมูกเราข้างในเป็นอะไรก็ไม่รู้ เค้าจะรู้จริงๆก็ตอนผ่า เหมือนกันต้องแก้หน้างานน่ะค่ะ เค้าไม่การันตี 100% ว่าจมูกเราจะสวยเป๊ะเวอร์ หรือจะมีปัญหาอะไรมั้ย เพราะตามกฎแพทย์ถ้าการันตีกับคนไข้นี่ถือว่าผิดกฎทันที แต่เค้าบอกว่าเค้าจะทำให้สวยที่สุด หลังทำหน้าเราจะดูเรียวขึ้นและหวานกว่านี้ จมูกเราที่เคยแด่นจะไม่แด่นอีก คุณหมอเรียกจมูกเราว่าจมูกลูกชิ้นค่ะ (ฟังแล้วยังขำอยู่เลย) หมอจะทำให้ปลายดูดีขึ้น ปลายจะเชิดขึ้นในองศาที่รับกับหน้าค่ะ

เหตุผลที่ 2
เราได้รับคำแนะนำจากหลายๆคนว่าดี  เช่นพี่โอเปิ่ลจากเว็บ Dodeden, สื่อต่างๆเพราะคุณหมอออกสื่อเยอะมาก, รีวิวในเว็บไซต์, วีดีโอ youtube รายการที่หมอออก, และเราไปตั้งกระทู้ถามในเว็บดั้งโด่งก็มีแต่คนบอกว่าดีและแนะนำให้ดูรีวิวของเค้าที่ไปทำจมูกกับคุณหมอค่ะ และด้วยความที่คุณหมอมีประสบการณ์มากว่า 30 ปี จากตรงนี้ก็เลยใจชื้นขึ้นมาระดับหนึ่ง

เหตุผลที่ 3
สถานที่และการบริการของทาง Meko Clinic ถือว่าเลิศและน่าประทับใจมากค่ะ คลินิกดูสะอาดมาก เราไปพบหมอที่สาขา Central World ค่ะ พนักงานแต่งตัวดี บริการดี และให้คำแนะนำดีค่ะ ที่สำคัญอยู่ในห้างด้วย ทำให้ระดับความเชื่อถือดูเพิ่มขึ้นค่ะ (Meko Clinic มีหลายสาขาค่ะ แต่เราเลือกไป Central World เพราะสะดวกสุดค่ะ)


(Meko Clinic สาขา Central World ค่ะ)


เราตัดสินใจแก้จมูกกับหมอมนัส Meko Clinic วันที่ 17 มี.ค. 2558 ค่ะ

แล้วไว้จะมา Update การแก้จมูกให้ฟังกันอีกทีนะคะ



Wednesday, January 1, 2014

รีวิว พอกหน้าสูตรลดหน้ามัน กระชับรูขุมขน / หน้าขาวใส สำหรับคนผิวมัน (สูตรคุณ SP)

สวัสดีค่ะ

พอดีไปอ่านเจอกระทู้ Pantip ของคุณสายป่านมา เราเป็นแฟนคลับคนนึงของเค้าเลยค่ะ
เราเป็นคนที่หน้าแพ้ง่ายมาก แต่ก็หน้ามันมากเช่นกัน ทุกวันนี้เราหาหมอที่ธนพรคลินิกค่ะ ยอมรับว่ายังใช้ยาหมออยู่ แต่วันนึงราก็ยังมีความหวังว่าเราจะหน้าใสไร้สิวโดยไม่พึ่งยาหมอให้ได้ค่ะ

เราได้ไปอ่านกระทู้ของพี่สายป่าน เค้ารีวิวการพอกหน้าแต่ละสูตรไว้เยอะมากค่ะ แนะนำให้ลองทำกันดูนะคะ เพราะวัตถุดิบหาไม่ยาก ถูก และมีประโยชน์มากค่ะ

วันนี้เราจะมารีวิวการพอกหน้าสูตรลดหน้ามัน กระชับรูขุมขน / หน้าขาวใส สำหรับคนผิวมันค่ะ

ก่อนอื่นเตรียมอุปกรณ์กันก่อนๆ มี
- แตงกว่า (ตำละเอียด)
-ไข่ขาว
- มะนาว
เราใช้สัดส่วน 2-2-1 ตามที่พี่สายป่านแนะนำค่ะ จากนั้นนำมาผสมกันตามนี้เลยยย

ผสมและคนให้เข้ากัน จากนั้นก็กินเลย! เอ้ย ไม่ช่ายยยย



นี่ค่ะหน้าเปลือยของเรา จิงๆเรามีสิว แต่รูปนี้ดูเหมือนไม่มีเพราะแสงมันสะท้อนค่าาาาาาา
รูปนี้คือหลังจากที่เอามาพอกหน้าค่ะ สังเกตุได้ว่าเศษแตงกวาติดอยู่ที่หน้า 555



เราพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที อยากจะบอกคำเดียวเลย "ตึงมาก!" ตึงเพราะไข่ขาวค่ะ ตอนพอกไม่มีกลิ่นใดๆทั้งสิ้นค่ะ จากนั้นก็ล้างออกค่ะ รูปด้านล่างคือล้างออกเรียบร้อยแล้ว ^_^






รู้สึกดีค่ะ แตงกวาทำให้หน้าชุ่มชื้นดีค่ะ ส่วนนี่คือประโยชน์ที่พี่สายป่านได้พูดไว้ "มะนาวจะไปช่วยกระชับรูขุมขน ลอกผิวที่ตายแล้วออกมา เหมือน AHA ธรรมชาติ  ส่วนแตงกวา มีทั้งแร่ธาตุ โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินซี  ช่วยทำให้หน้าสดชื่น ลดอาการหน้ามัน กระชับอณู รูขุมขนของเราจ๊ะ"
สูตรนี้สามารถทำได้ทุกวันนะคะ ลองดูค่ะ :)


Monday, December 30, 2013

รีวิว ไปฉีด Botox + Mesofat ที่ Cutie Viva Clinic ค่ะ

สวัสดีค่ะ

หลังจากที่มีปัญหาจมูกและระหว่างรอเวลาแก้ เราก็ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองดูไม่ดี ตอนนี้ทำใจเรื่องจมูกได้แล้ว เหอๆ

เราอยากหน้าเรียวกับเค้าบ้าง เลยตัดสินใจที่จะฉีด Botox ค่ะ ก็หาข้อมูลอยู่เหมือนกัน หาไปหามาก็ตัดสินใจทำที่คลินิก Cutie Viva ค่ะ เนื่องจากไม่ไกลบ้านมาก เคยเห็นรีวิวคนที่ทำมาก็สวยและเห็นผลดี และคลินิกดูดีสะอาดตา แถมมีโปรโมชั่นช่วงปีใหม่ด้วย วันนี้เลยบึ่งไปฉีดมาเลยยยยย (29 ธ.ค. 2556)

พอเข้าไปพบหมอ หมอบอกว่าเรามีทั้งหกล้ามเนื้อที่กรามและเนื้อที่แก้มเยอะ หมอเลยแนะนำฉีด Botox ลดกราม และ Mesofat เพื่อละลายไขมันตรงเนื้อแก้มด้านล่างค่ะ

เราฉีด Botox ของเกาหลี กับ Mesofat เราใช้ Botox 100 unit ค่ะ ปกติถ้า 2 อย่างนี้รวมกันจะอยู่ที่ 22000 อย่างต่ำ แต่เฉพาะวันที่ 28-29 คุณหมอใจดีลดราคาให้ เราเลยจัดเลย
- Botox เกาหลี 100 unit อยู่ที่ 8000 บาท
- Mesofat 3 ครั้ง อยู่ที่ 7000 บาท
รวมเป็น 15,000 บาท เราขอหมอลดอีก เค้าก็ลดให้เหลือ 14,000 บาทค่ะ Happy มาก เหอๆ

หมอบอกว่าของเราข้างขวากับข้างซ้ายไม่เท่ากัน ข้างขวาเราฉีดไป 60 unit ข้างซ้ายฉีด 40 unit จากนั้นก็ฉีด Mesofat
หมอบอกว่า Mesofat จะเห็นผลภายใน 3 วันแรก ส่วน Botox จะเริ่มเห็นผลภายใน 2-3 อาทิตย์หลังจากฉีด ตอนฉีดเค้าก็ทายาชาให้เรา ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นหมอก็มาฉีดให้ค่ะ

นี่คือรูปค่ะ รายละเอียดก็ตามรูปเลยค่ะ






นี่คือยาชาค่ะ



หลีงฉีดเสร็จ หมอบอกว่าจะบวมประมาณ 3 ชม. หลังจากนั้นก็จะหายบวมค่ะ





อันนี้มา review ให้ดูเพิ่มเติมค่ะ



-----------------------------------------------

มารีวิวให้ดูเพิ่มเติมค่ะ


ก่อนฉีด - หลังฉีด 1 วัน - หลังฉีด 2 วัน - หลังฉีด 3 วัน



ตอนนี้เท่าที่สังเกตุ ตรงกรามยังดูเท่าเดิมอยู่ค่ะ แต่ตรงโหนกแก้มเริ่มยุบลงค่ะ


-----------------------------------------------

มารีวิวให้ดูเพิ่มเติมค่ะ


ก่อนฉีด - หลังฉีด 4 วัน




เริ่มสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ


หน้าดูเริ่มตอบลงมาแย้ว...เราไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองใช่มั้ย >_<

ประสบการณ์ทำจมูกอันเลวร้าย เสริมจมูกครั้งแรก เกิดปัญหาไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง

สวัสดีค่ะ

เมื่อประมาณวันที่ 30 พ.ค. 2556 ที่ผ่านมา เราได้ไปเสริมจมูกกับ คุณหมอรณชัย ณรวี คลินิก ค่ะ

เราเสริมจมูกแบบเอากระดูกอ่อนหลังหูมาทำเป็นงุ้มต่อเล็กน้อย+ใส่ซิลิโคนน่ะค่ะ หมดไป 50,000 บาท
พอผ่านไปได้ประมาณ 2 อาทิตย์ จมูกเราเริ่มมีขั้นปรากฎ คนอื่นมองไม่ค่อยชัด แต่เวลาเราลูบจมูก เรารู้สึกได้เลยว่ามันเป็นขั้น แล้วพอคุยกับหมอ ปรากฎว่าหมอทำผิดพลาดทางเทคนิค!!

และนี่คือสิ่งที่หมอทำค่ะ


เราแบบ เฮ้ย!! ทำแบบนี้ได้ยังไง หมอเค้าเอากระดูกหูที่เหลือมาโปะทับตรงส่วนล่างของซิลิโคน ตอนทำเราไม่รู้ มารู้อีกทีก็ตอนเห็นว่ามันเริ่มเป็นขั้น เราแบบ...ทำไมต้องเป็นเรา แล้วทำแบบนี้หมอไม่คิดถึงผลที่ตามมาเลยหรอว่ามันจะเป็นขั้น สรุป ทำออกมาไม่ค่อยโด่ง+มีขั้นแถมมาด้วย

หลังจากนั้นเราก็จำเป็นต้องแก้จมูกกับหมอคนเดิม แก้ฟรีค่ะ เพราะต้องให้เค้าเอาขั้นออกด้วย จาก พ.ค. ผ่านไปประมาณ 5 เดือนกว่าๆ เราแก้จมูกอีกรอบวันที่ 24 ต.ค. 2556 ที่ผ่านมาค่ะ ซึ่งสิ่งที่หมอต้องทำก็คือ เอาขั้นออก และ เปลี่ยนซิลิโคนอันใหม่ให้เรา ก็ไปแก้จมูกกับหมอ หลังจากนั้นเราก็กลับมาพักฟื้นค่ะ

ประมาณ 4 วันหลังจากการผ่าตัดรอบ 2 เราก็เกิดไม่สบาย อันนี้อาจจะเป็นความผิดของเราที่ไม่ไปหาหมอ เราก็ไม่ได้เอะใจ นึกว่าไม่สบายก็กินยาแล้วก็หาย เราก็ทานยาแล้วก็หายไข้นะคะ ผ่านไปอีก 1 อาทิตย์เราก็ไปหาหมอ ปรากฎจมูกติดเชื้อ!! ต้องรีบเอาซิลิโคนออกทันที O_O บระเจ้า!! อะไรวะเนี่ย เพิ่งยัดเข้าไปไม่ถึง 2 อาทิตย์ ต้องเอาออกอีกแล้ว TT เราจำเป็นต้องให้เค้าเอาออกค่ะ เพราะไม่งั้นติดเชื้อไม่ดีต่อเราแน่ๆ หลังจากนั้นจมูกเราก็กลับมาบี้เหมือนเดิม 50,000 ที่ลงไป ไม่ได้อะไรกลับมาเลย (เออ ลืมไป ยังมีกระดูกหลังหูที่ยังเป็นงุ้มอยู่ แต่ซิลิโคนไม่มีแล้ว)


หลังจากเอาออกได้ 3 วัน เราก็ไปหาหมอ เราก็คุยๆว่าอาการดีขึ้นแล้ว กระดูกหูที่อยู่ตรงปลายจมูกมันจะไม่สลายใช่มั้ย หมอบอกว่ามันจะไม่สลายค่ะ หมอบอกว่าพักจมูกอีกประมาณ 3 เดือน เราก็ ok แล้วเราก็ถามหมอว่า
เรา: "หมอคะ งั้นหนูต้องมาหาหมออีกทีเมื่อไหร่คะ"
หมอ: "อีก 3 เดมือนนั่นแหละ ค่อยมาดูก็ได้"
เรา: "อ่อ ok ค่ะหมอ"

หลังจากวันนั้น ผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ เราก็เริ่มรู้สึกว่าจมูกเรามันเริ่มจะแด่นขึ้น แม่ก็ทัก เพื่อนก็ทัก เรารู้สึกนอยมาก! จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้มั้ย แถมจมูกเราช้ำเพราะจากการที่หมอขูดขั้นออกค่ะ ลองดูรูปได้ค่ะ เผื่อใครยังงงๆ



 เห็นรอยช้ำมั้ยคะ? รอยช้ำเกิดจากการที่หมอขูดเอาขั้นออก และที่จมูกมันร่นขึ้นไปเหมือนจมูกหมู ก็เพราะตอนติดเชื้อ หมอเอาซิลิโคนออกและเค้าก็ต้องขูดเนื้อเยื่อตรงจมูกออกไปด้วยเพื่อให้อาการ ติดเชื้อหายขาด มันเลยเป็นบุ๋มๆตรงกลาง เพราะพังผืดเริ่มเกาะตัวด้วยค่ะ เราเลยรีบไปหาหมออีกทีค่ะ

พอไปถึงคลินิค หมอส่ายหน้า!! เราแบบ เริ่มจิตตกและ -_- เวงกำอะไรของชั้น หมอบอกว่าเนี่ย จมูกมันเริ่มร่นขึ้นไปแล้ว ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ เวลาเสริมใหม่อาจต้องใช้ซิลิโคนสั้นลง แล้วอาจต้องตัดกระดูกหูเพิ่มมาทำเป็นงุ้นใหม่ แมร่ง เราคิดในใจ ไม่มีทางที่ชั้นจะตัดกระดูกหูอีกข้าง!! แล้วหมอก็บอกว่า สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือ ต้องดึงจมูกลง ต้องคอยกดมัน O_O เราก็งงสิคะ...คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว

1) ดึงลง? กด? ยังไง?
2) แล้วถ้าดึงมันลงบ่อยๆ แล้วรอยช้ำที่จมูกเราจะเป็นยังไง? จะไม่ยิ่งช้ำหรอ!!
3) แล้วต้องดึงนานแค่ไหน
4) แล้วจมูกเราจะกลับมาดีเหมือนเดิมมั้ย
5) รอยช้ำจะหายขาดมั้ย

โอ้ย ทุกอย่างตีกันในหัวไปหมดค่ะ

หมอบอกว่าเราต้องดึงลงแรงๆ ต้องกดมันลง หมอไม่การันตีว่ามันจะหายร่น แต่เค้าบอกว่าให้เราคอยดึงมันลงตลอดเวลา ดึงปลายจมูกลง ไม่งั้นยิ่งแด่น/แอ่นแน่นอน เอาไงล่ะทีนี้ เราก็ต้องดึงค่ะ ทรมานแค่นี้ยังไม่พอ ชั้นต้องคอยดึงจมูกอีหรอนี่

แต่ประเด็นคือตอนแรกหมอนัดอีกที 3 เดือนด้วยซ้ำ ถ้าเราไม่ไปพบหมอก่อน จมูกเราจะเป็นยังไง เราจะรู้มั้ยว่าเราต้องดึง และเราจะรู้มั้ยว่าเราสามารถดึงได้ ใครๆก็คิดว่าอย่าไปดึงหรือทำอะไรมัน เพราะเพิ่งผ่าตัดเสร็จไม่นาน ตอนหลังผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ ทำไมหมอไม่เห็นพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ??

เราผิดหวังในหมอมากค่ะ ณ จุดๆนี้

พอผ่านไปได้ 1 เดือนหลังจากผ่าตัดเอาซิลิโคนออก รูปก็เป็นอย่างที่เห็นค่ะ เรายังดึงจมูกทุกวัน พยายามไม่ให้มันแอ่นค่ะ ก็เป็นตามสภาพที่เห็นค่ะ 50,000 ที่หมดไป อนาถแท้




จะเห็นว่ารอยช้ำยังมีอยู่ ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันจะหายเมื่อไหร่ จะหายถาวรมั้ย!?! เรานอยมากๆเลยค่ะ

หมดไป 50,000 บาท ถามว่าได้อะไรกลับมาบ้าง?

1) กระดูกหูที่ยังอยู่ตรงปลายจมูกเราซึ่งดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลยตอนนี้ 
2) รายช้ำที่แถมมา
3) ซิลิโคนที่หายไป
4) ต้องดึงจมูกอยู่ตลอดเวลา
5) ความผิดหวัง
6) เสียเวลา เงิน แรงกาย แรงใจ

ตอนนี้เราคิดอยู่ว่าถึงหมอเค้าจะยินดีแก้ให้ (ต้องรออีก 3 เดือน) แต่เราก็เริ่มนอยและไม่อยากทำกับหมอคนนี้แล้วค่ะ เงินที่เสียไปถือซะว่าฟาดเคราะห์ เค้าคงไม่ยอมคืนเงินให้เราแน่ๆ เพราะเค้าอาจจะหาว่าครั้งที่ 2 ที่เราต้องเอาออกมันเป็นความผิดของเราที่เราไม่สบายทำให้จมูกติดเชื้อ แต่เงินจะคืนหรือไม่ืนมันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือตอนนี้มันเสียความรู้สึกไปแล้วน่ะค่ะ เราเลยพยายามหาหมอใหม่ค่ะ ที่สามารถแก้ให้จมูกเราดูโด่งและดูสวยแบบธรรมชาติได้ ขอเจ็บอีกแค่ครั้งเดียวค่ะ

--------------------------------------------------------------------------

หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เราก็ต้องพักจมูกเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนค่ะ ถ้านับจากวันที่ถอดซิลิโคนออกล่าสุด เราถอดออกวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ผ่านไป 3 อาทิตย์แล้วค่ะ ระหว่างนี้ทำให้เราได้พยายามไปปรึกษาหมอที่รับแก้เคสกระดูกหูค่ะ เสียเงินค่าปรึกษาเราก็ยอม เพราะเราต้องการรู้ว่าหมอแต่ละที่ที่เราไปหา จะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ และถ้าได้ เค้าจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร

ในหัวตอนนี้เราคิดแค่
1) เราจะไม่ทำกับหมอเดิมแล้ว จะคุยกับหมอเดิมเพื่อขอเงินคืน 
    ใครเคยขอเงินคืนมั้ยคะ มีวิธีพูดยังไงให้เค้ายอมคืนเงินเราเต็มจำนวนบ้างมั้ยคะ

2) ปรึกษาหมอหลายๆที่เพื่อหาที่ๆดีที่สุดสำหรับเคสแก้จมูกของเรา



ตอนนี้เราไปปรึกษาหมอมา 3 ที่แล้วค่ะ ก่อนไปปรึกษาเราก็เขาไปดูเว็บ หาข้อมูล ดูรีวิวตามเว็บต่างๆค่ะ แล้วค่อยตัดสินใจไปปรึกษาค่ะ


ที่แรก หมออาสยา รพ.สมิติเวช ค่ะ
ประวัติหมออาสยาดู link ข้างล่างได้ค่ะ
http://www.blogger.com/profile/00143163400463858179
เราเล่าให้คุณหมอฟังถึงเรื่องจมูกของเรา เล่าไปร้องไห้ไปเพราะมันกลั้นไม่อยู่จริงๆ คุณหมอแนะนำว่าตอนนี้เนื้อเราบางมาก (ตรงกลางที่เป็นรอยช้ำ) บางมากๆ (หมอเน้นคำว่า "มากๆ") จนหมอไม่แน่ใจว่าจะสามารถใส่ซิลิโคนได้มั้ย เพราะกลัวใส่เข้าไแล้วเกิดทะลุขึ้นมา หมอบอกว่ากระดูกอ่อนใบหูเราที่อยู่ตรงปลายไม่ได้สลาย ถ้าถึงเวลาแก้ต้องดูกระดูกอ่อนใบหูก่อนว่าสภาพเป็นอย่างไร ถ้ายังมีสภาพดีอยู่ก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ไม่จำเป็นต้องทิ้งและผ่าตัดใหม่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพตอนนั้นค่ะ หมอบอกว่าสามารถย้ายกระดูกอ่อนใบหูที่อยู่ตรงปลายจมูกเรา เลื่อนมันให้ต่ำลงมาได้ แต่จะใส่ซิลิโคนหรือไม่ให้ดูอีกที ต้องรอประมาณ 3 เดือนให้จมูกมันเข้าที่จริงๆก่อนถึงจะบอกได้ เรื่องรอยช้ำเค้าบอกก็ให้ประคบอุ่นค่ะ แต่จะหายไม่หายต้องรอดูอาการไปเรื่อยๆ ส่วนลักษณะจมูกของเราที่ร่นขึ้นไป หมอบอกว่าอย่ากังวล หมอบอกว่าแค่ผ่าตัดเลาะพังผืดที่ติดกันอยู่ เท่านี้ก็จะทำให้จมูกหายร่นค่ะ หมอเค้าผ่าตัดแบบ Open ค่ะ ส่วนเรื่องดึงจมูก หมอบอกว่ามันไม่ค่อยเกี่ยวเพราะยังไงถึงไม่ดึงหรือถึงจมูกจะร่น มันก็ยังแก้ได้ด้วยการผ่าตัดแบบ Open

เราก็ประทับใจนะ คุณหมอก็ปลอบเราว่าอย่าไปเครียด มันแก้ได้ อย่ากังวล รอประมาณ 3 เดือนค่อยกลับมาให้คุณหมอเช็คดูอีกที คุณหมอไม่ได้คิดค่าปรึกษาค่ะ แต่มีค่าธรรมเนียมโรงบาล 150 บาทค่ะ



ที่สอง หมอทนงศักดิ์ Asia Clinic ค่ะ
ประวัติหหมอทนงศักดิ์ดู link ข้างล่างได้ค่ะ
http://www.asia-clinic.com
เราเข้าไปตั้งแต่ 10 โมง คนก็เยอะเหมือนกัน มีมาเรื่อยๆค่ะ ที่นี่เป็นคลินิกที่ดูดีมากค่ะ สะอาดมากค่ะ ประทับใจตั้งแต่ห้องน้ำแล้วค่ะ ต้องเปลี่ยนรองเท้าก่อนเช้าไปพบหมอ ถ้าเข้าห้องน้ำก็ต้องเปลี่ยนรองเท้าที่เค้าเตรียมไว้ให้อีกที ตอนเข้าไปจะปรึกษาเค้าก็ให้ทำประวัติก่อนแล้วก็ถ่ายรูปหน้าเรา จากนั้นเค้าก็มีแฟ้มภาพจมูกดารามาให้เราเลือก บอกว่าถ้าต้องการจมูกแบบไหนให้ดึงแผ่นนั้นออกมาจากแฟ้มได้เลย แฟ้มเค้าหนามาก หลายแผ่นอยู่ เหอๆ เรารออยู่ครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นลิฟท์ไปหาหมอค่ะ

พอเข้าไปพบหมอ เราก็เล่าเคสของเราให้ฟังค่ะ เค้าตั้งใจฟังแล้วก็จดลงกระดาษค่ะ เราเล่าไปร้องไห้ไป (อีกแล้ว -_- ก็มันกลั้นไม่อยู่จิงๆนะ) เราก็เน้นว่าเนื้อเราตรงกลางจมูกมันบางมากๆ หมอก็จับๆดูนะคะ แล้วก็บอกว่าเคสเราสามารถแก้ไขได้ ไม่ต้องกังวล หมอเจอเคสปัญหาแบบนี้มาเยอะ เราก็บอกหมอเค้าไปว่าจมูกเรามันดูแอ่นๆ ที่เราไม่แก้กับหมอเดิมก็เพราะวิธีการแก้ของเค้าคือแค่ใส่ซิลิโคนใหม่เข้าไป ซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์การทำจมูกของเราเลย ถึงใส่ซิลิโคนเข้าไปก็ไม่หายแอ่นและไม่หายร่นอยู่ดี หมอทนงศักดิ์บอกว่าต้องแก้ไขใหม่ ต้องรื้อใหม่ ส่วนวิธีการนั้นยังไม่แน่ชัด ยังตอบไม่ได้ เพราะตอนนี้จมูกเรายังต้องใช้เวลา set ตัว ต้องรออีกซัก 2 เดือนแล้วค่อยกลับมาปรึกษากับหมออีกรอบถึงวิธีการแก้ ถึงตอนนั้นเค้าก็จะรู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไร เค้าบอกกับเราว่าเคสเราสบายมาก อย่าเครียด ไม่ใช่เคสหนัก บางคนหนักกว่าเราเยอะ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องเครียด เราจะดึงจมูกหรือไม่ดึงจมูกก็ได้แล้วแต่เรา ต่อจากนี้อีก 2 เดือนไม่ต้องไปคิดถึงจมูก ไม่ต้องคิดมาก ยังไงก็แก้ได้ เคสนี้ไม่ยาก (เรามีความหวังขึ้นมาทันที เพราะถ้าหมอพูดขนาดนี้ แสดงว่าเค้าก็รู้ตัวแหละว่าเค้ากำลังให้ความหวังคนไข้ ซึ่งเป็นความหวังที่เค้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง) สีหน้าเค้าดูมั่นใจมากค่ะ เราก็ ok และนัดปรึกษาเค้าอีกทีเดือนมีนาคมค่ะ

พอออกมาจากห้องเราก็มานั่งรอด้านหน้าห้อง ก็มีพี่ที่คลินิกมานั่งคุยกับเราเรื่องเคสจมูกของเรา เค้าชมเราว่าหน้าเราทรงเกาหลีจริงๆ ถ้าแก้จมูก ทีนี้ก็จะเหมือนเด็กเกาหลีเลย เค้าเล่าให้ฟังว่า หมอทนงศักดิ์เป็นแพทย์จาก รพ.ศิริราช ท่านมีประสบการณ์และเก่งมาก เวลาเค้าดูจมูกของคนไข้ เหมือนเค้าจะเห็นทะลุเข้าไปด้านในจมูกของเราเลยว่าสภาพเป็นยังไง เราก็ถามพี่เค้าต่อว่าเคยมีเคสแก้จมูกคล้ายๆเคสเรามั้ย พี่เค้าบอกว่ามีหนักกว่าเราเยอะ มีบางที่ทำจมูกมาหลายครั้งมากจนซิลิโคนทะลุ ก็มาแก้กับคุณหมอ บางเคสที่บางที่ไม่รับแก้ คุณหมอก็รับแก้ให้ บางเคสเป็นปากแหว่งเพดานโหว่มาตั้งแต่เกิดก็มาขอให้คุณหมอช่วยทำให้ พอทำออกมาสำเร็จแล้วคนไข้ดีใจจนร้องไห้เลย พี่เค้าก็เล่าเคสพวกนี้ให้ฟัง ทำให้เราใจชื้นขึ้นเยอะ พี่เค้าบอกว่า เราไม่ต้องกังวล ถ้าคุณหมอบอกว่าแก้ได้ ไม่ต้องห่วง ก็คือไม่ต้องห่วงจริงๆ ให้เราทำใจสบายๆอย่าไปเครียด อย่าไปกังวล

พอเราลงมาข้างล่าง มีค่าปรึกษา 500 บาทค่ะ เราก็ยอมควักค่ะ จากนั้นเราก็คุยกับคุณพยาบาลของคลินิกค่ะ เล่าให้เค้าฟังว่าเคสเราเป็นยังไง ทำไมมันถึงมีรอยช้ำได้ พยาบาลเค้าก็บอกเราตรงๆค่ะว่า เซลล์เนื้อเราตรงที่เป็นรอยช้ำมันตายแล้ว (เราตกใจ O_O) มันจะไม่หายขาด เราก็ถามว่าเราจะทำยังไงได้บ้าง เราบอกเค้าว่ารอยนี้ถ้าเทียบกับ 1 เดือนที่แล้ว มันดูจางลงไปนิดนึง แล้วเราก็เอารูปให้เค้าดู เค้าก็บอกว่างั้นต้องรอดูไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะดีขึ้นเพราะตอนนี้ผ่านไปแค่ 1 เดือนเท่านั้น เค้าให้เราคอบประคบอุ่นค่ะ เมื่อคุยเสร็จแล้วเราก็ไปปรึกษาที่ต่อไปค่ะ


ที่สาม หมอพีรพันธ์ Deluxe Clinic ค่ะ
ประวัติหหมอพีรพันธ์ดู link ข้างล่างได้ค่ะ หมอเคยทำที่เลอลักษณ์ค่ะ ตอนนี้มาเปิดคลินิกเองค่ะ
http://www.deluxeclinic.com
เป็นคลินิกเล็กๆค่ะ พี่ๆดูเป็นกันเองค่ะ แต่กระเทยเยอะเหมือนกันนะ เหอๆ ตอนเราไปก็มีอย่างต่ำ 2 รายและ อันนี้เค้าก็ให้เราถ่ายรูป ทำประวัติ แล้วก็ชำระเงินค่าปรึกษาก่อน 300 บาท เราก็จ่ายไปค่ะ จากนั้นรอประมาณ 15 นาทีก็ขึ้นไปพบคุณหมอค่ะ เราก็เล่าเคสเราให้เค้าฟังค่ะ เค้าก็บอกเราว่ากระดูกอ่อนหูนั้นจริงๆแล้วเมื่อเวลาผ่านไป กระดูกอ่อนหูก็จะค่อยๆสลายไปและรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับจมูกเราค่ะ เค้าให้ข้อมูลเรามาแบบนี้ค่ะ

1) เซลล์เราตรงที่เป็นรอยช้ำมันตายแล้วเพราะมันเกิดจากการที่เค้าขูดเนื้อเรา ออกไปมากเกิน จริงๆแล้วกระดูกหูมันบางมาก เค้าขูดกระดูกหูออกไปซึ่งตรงนั้นก็เป็นเนื้อจมูกเราด้วย เค้าขูดออกเยอะไปทำให้เซลล์เรามันตายและกลายเป็นรอยช้ำอย่างที่เห็น (เรายิ่งฟังยิ่ง get มากขึ้น TT) เมื่อเซลล์ตายแล้วมันก็จะไม่หายช้ำ O_O

2) จมูกเราอาจจะสร้างเนื้อเยื่อได้อยู่ เพราะรอบที่สองเราใส่ซิลิโคนเข้าไปและเอาซิลิโคนออกเร็ว มันก็มีสิทธิ์ที่เนื้อเยื่อจะสร้างตัวอยู่

หมอจับๆจมูกเราค่ะ แล้วก็จับตรงปลายจมูกแล้วบอกว่า "เนี่ย กระดูกหูมันสลายแล้ว กลายเป็นเนื้อหมดแล้ว" หมอบอกว่าสำหรับเคสเรา ซิลิโคนถ้าใส่ อาจทะลุได้เพราะเนื้อตรงสันเราบาง (แต่ทั้งนี้ต้องรอดูประมาณ 3 เดือนว่าเนื้อเยื่อมันจะสร้างขึ้นมาขนาดไหนด้วยค่ะ) หมอบอกว่าจมูกเราอาจยังไม่ยุบเต็มที่ ต้องรอเวลา แต่รูปจมูกเราจะทำให้เป็นงุ้มมันก็ทำไม่ได้ เพราะต้องอิงจากจมุกเดิมด้วย หมออธิบายว่าคนเราชอบจินตนาการไปว่าจมูกต้องให้ได้แบบนั้นแบบนี้ ต้องโด่งประมาณนั้น ต้องงุ้มประมาณนี้ ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงรูปจมูกของตัวเองที่แท้จริงตั้งแต่ต้นว่ามันสามารถทำได้ มั้ย หมอไม่แนะนำให้ทำจมูกแบบเอากระดูกอ่อนหูมาต่อตั้งแต่ต้นเพราะถ้าเกิดผิดพลาด อะไรขึ้นมา ก็จะแก้ยาก ดังนั้นสำหรับใครถ้าทำครั้งแรก ควรใช้แค่ซิลิโคนอย่างเดียวก่อน ถ้าไม่ work ค่อยไปเทคนิคอื่น สรุปก็คือรอค่ะ มันต้องใช้เวลา ซึ่งอันนี้เรารู้ดีค่ะ ก็รอถึงเวลาแล้วค่อยกลับมาปรึกษาอีกทีว่าจะแก้ยังไงได้บ้าง

พอเราออกมาพี่ผู้ช่วยหมอก็บอกว่ารอยช้ำมันจะจางลงแต่มันจะไม่หายไปเพราะ เซลล์มันตายแล้ว (เราก็รู้สึกไม่ค่อยดีอ่ะนะ) เค้าบอกว่าเราต้องดูแลตัวเองดีๆ ต้องทากันแดดเยอะๆ อย่าตากแดด เพราะเดี๋ยวรอยช้ำมันจะไม่ดีขึ้น แล้วก็บอกต่อว่า อย่าประคบอุ่น ให้ประคบเย็นข้างแก้มแทน


** ถึงตอนนี้เราเริ่มงงและสงสัยระหว่างคำพูดของ หมออาสยา กับ หมอพีรพันธุ์ ... หมออาสยาบอกว่ากระดูกหูจะไม่สลายไป แต่! หมอพีรพันธุ์บอกว่ากระดูกหูสลายรวมกับเนื้อไปแล้ว ?? เอ๊ะ ตกลงยังไงกันแน่ เราจะเชื่อใครดี

** อีกจุดนึงที่สงสัยคือ 2 ที่ข้างต้นบอกให้ประคบอุ่น แต่ทาง Delux Clinic บอกอย่าประคบอุ่น ให้ประคบเย็น?? เราก็งงอีก ตกลงกรูต้องประคบอะไรกันแน่

ยังไง ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องรอเวลาไปก่อนนั่นแหละ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ไปปรึกษาหมอและรู้ว่าแต่ละคนคิดยังไงกับเคสเราและสามารถ แก้ได้มากน้อยแค่ไหน

วันศุกร์นี้เรานัดกับหมอพิชิต หมอเค้ามีคลินิกอยู่ 2 ที่คือที่ พระราม 9 กับ สำโรง ค่ะ หมอท่านประจำอยู่ที่ รพ.จุฬาค่ะ จะเข้าคลินิกเฉพาะช่วงเย็นค่ะ ยังไงจะมา update ให้ฟังกันนะคะ

เอาใจช่วยเราด้วยเน้อออออ


--------------------------------------------------------------


ไปปรึกษาหมอที่ The klinique แถว Siam มาค่ะ
ก่อนอื่นคุณหมอหล่อมากกกก 555 (แอบไม่เกี่ยว)

หมอบอกว่ารอยช้ำตรงกลางจมูกเราเกิดจากการที่เค้าขูดไป ทำให้เม็ดสีผิวมันเปลี่ยนสี เค้าบอกว่าสามารถแก้ด้วยการทำ Laser ปกติ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันเริ่มสร้างเนื้อเยื่อมากขึ้นตรงกลางจมูก เพราะบีบๆแล้วรู้สึกมันมีเนื้อมากขึ้นและไม่รู้สึกเจ็บแล้ว จากเมื่อก่อนที่เนื้อบางมากแทบจะบีบไม่ได้เลย

ตอนนี้ผ่านมา 1 เดือนเต็มแล้ว เราก็รอให้จมูกมันพักฟื้นอีกซัก 2-3 เดือน แล้วว่าจะทำใหม่

ตอนนี้ Plan เราคือจะไปปรึกษาหมอพิชาญศักดิ์ที่ V-Plast เกี่ยวกับเคสของเรา เราจะลองปรึกษาหมอว่าถ้าเคสเรา สามารถแก้โดยการใส่ซิลิโคน+เอาเนื้อเยื่อสังเคราะห์มาต่อปลาย ได้มั้ย เพราะไหนๆถ้าจะแก้แล้ว เราก็อยากแก้เป็นครั้งสุดท้าย ทำให้จมุกมันออกมาสวย ดูดี มีหยดน้ำ (แต่เราไม่เสี่ยงเอากระดูกอ่อนหลังหูใหม่มาต่อแน่นอน เพราะเราเข็ดแล้ว)

เพื่อนๆคนไหนที่เคยทำเคสนี้ ใส่ซิลิโคน+เอาเนื้อเยื่อสังเคราะห์มาต่อปลาย รบกวนแนะนำด้วยนะคะ


---------------------------------------------------------------------


ล่าสุดได้ไปปรึกษาอีก 2 หมอค่ะ

1) คุณหมอสุวิทย์ที่ รพ.เซ็นทรัลเยนเนอรัล ผลคือ แกไม่รับแก้ค่ะ เพราะเคสเรามันเป็นในเรื่องของเทคนิคอีกขั้นนึงซึ่งแกไม่ถนัดเคสแก้กระดูก หลังหู  ก็ ok จบไป

2) คุณหมอพิชาญศักดิ์ที่ V-Plast บางแสน หมอบอกว่าจมูกเรายังไม่ผิดรูปมาก ตอนนี้ตรงปลายเราเป็นพังผืดเกาะกันทำให้ปลายมันแข็ง หมอแนะนำให้นวดจมูกบ่อยๆ โดยเฉพาะตรงปลาย เพื่อให้พังผืดมันคลายและนิ่มขึ้น หมั่นทาครีมและนวดทุกวันๆ หมอก็ให้ยามาทาตรงปลายจมูกเหมือนกันค่ะ เอาคัตเติ้ลบัตรชุบและทาเช้า-เย็น แต่ระหว่างวันก็ให้เอา Baby Oil นวดตรงปลายจมูกเพื่อทำให้มันนิ่ม (ประทับใจที่นี่มากกว่าที่อื่นๆคือ คุณหมอเค้าบอกว่าเราควรจะทำและปฏิบัติกับจมูกเราอย่างไรบ้างในระหว่างที่รอ แก้) คือถ้าแก้ได้หมอก็แก้ไปแล้ว แต่หมอบอกว่าตอนนี้เคสเราต้องรอและไปให้เค้าตรวจเป็นระยะๆเพื่อดูว่าเรา สามารถแก้ได้หรือไม่ ถ้าเนื้อเรายังไม่เข้าที่ ยังไม่พร้อม แกก็จะให้รอจนกว่าจะสามารถแก้ได้

ตอนนี้เราก็ไม่ค่อยเครียดแล้ว เพราะรอยช้ำเริ่มจางลง เราก็หวังว่ามันจะหายช้ำไปในที่สุด ตอนนี้ได้แต่หมั่นนวดจมูก ทานวิตามินซี ทาน Collagen เราก็ไม่รู้ว่ามันช่วยมั้ย แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เพราะมันคือจมูกเรา ยังไงมันก็ต้องอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ถ้าเจอปัญหาเราก็จะพยายามทกวิถีทางให้มันกลับมาดูดีให้ได้!!


นี่คือจมูกเราปัจจุบันค่ะ สังเกตุได้ว่ารอยช้ำตรงกลางจมูกเริ่มจางลงไปเยอะแล้วค่ะ ตอนนี้ผ่านมาประมาณ 2 เดือนแล้วหลังจากเอาออกล่าสุด เราทั้งทาง Collagen, Vitamin C, ทาครีมแล้วนวดสารพัดเท่าที่เราจะทำได้





อีกรูปค่ะ เปรียบเทียบกัน




ประมาณนี้ค่ะ แล้วไว้จะมาเล่าความคืบหน้าอีกนะคะ